วิธีรักษาข้อเข่าเสื่อมให้แข็งแรงแบบไม่ต้องผ่าตัด

ข้อเข่าเสื่อมคืออะไร

                อาการข้อเข่าเสื่อมเป็นอาการที่เกิดจากกระดูกข้อต่ออ่อนลงเนื่องมาจากการสึกหรอ การใช้งานหนัก และการเสื่อมลงตามวัย ซึ่งส่วนใหญ่มักจะเกิดขึ้นเมื่ออายุ 50 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะผู้หญิง แต่การใช้ชีวิตประจำวันก็ทำให้เกิดการสึกหรอได้ไม่ว่าจะเป็นการเดินขึ้นบันได การวิ่ง หรือแม้กระทั่งการเล่นกีฬาที่ผิดท่า ทำให้เกิดการข้อเข่าเสื่อมได้

ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เกิดข้อเข่าเสื่อม

  • อายุที่มากขึ้น เมื่ออายุมากขึ้นข้อเข่าจะเริ่มเสื่อมลงตามธรรมชาติ ความสามารถในการรักษาข้อเข่าเสื่อมก็จะลดลงตามวัย
  • น้ำหนักที่มากเกินไป เนื่องจากข้อเข่าจะเป็นตัวที่ช่วยรับน้ำหนักของร่างกายหากมีน้ำหนักมากเกินไปข้อเข่าก็ยิ่งเสื่อมไวขึ้น
  • การบาดเจ็บของข้อเข่า เช่น การเกิดอุบัติเหตุ กระดูกแตกหรือกระดูกร้าว หมอนรองกระดูกเสื่อม อาการเหล่านี้ล้วนทำให้เกิดการเสื่อมในอนาคต
  • การใช้งานข้อเข่าที่หนักเกินไป ไม่ว่าจะเป็นจากการทำอาชีพต่าง ๆ เกษตรกร ผู้รับเหมาก่อสร้าง การยกของหนัก ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดข้อเข่าเสื่อมทั้งสิ้น
  • การขาดสารอาหารสำคัญที่ทำหน้าที่ในการเสริมสร้างกระดูกและข้อให้แข็งแรง โดยเฉพาะ แคลเซียม วิตามินดี และแคลเซียม
  • กรรมพันธุ์และการผิดปกติของร่างกาย เช่น คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคข้อเข่าเสื่อม ก็มีโอกาสที่จะส่งต่อให้ลูกหลานในอนาคตได้ การผิดปกติของร่างกาย เช่น ขาโก่ง ขาเก เข่าผิดรูป ก็ทำให้เสี่ยงต่อการข้อเข่าเสื่อมได้

อาการของข้อเข่าเสื่อม

  • ปวดเข่าระหว่างทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น เดินขึ้น – ลงบันได
  • ข้อเข่าฝืด
  • มีเสียงดังเมื่อขยับข้อเข่า
  •  ข้อเข่าบวม มีรูปร่างที่ผิดแปลกหรือเปลี่ยนไป
  • เคลื่อนไหวได้ลำบาก

วิธีการรักษาข้อเข่าเสื่อม

                การรักษาข้อเข่าเสื่อมมีหลายวิธีขึ้นอยู่กับโรค และอาการที่เป็น แต่ปัจจุบันมีการรักษาที่ไม่ต้องพึ่งการผ่าตัดเพียงอย่างเดียว สามารถรักษาข้อเข่าเสื่อมให้ดีขึ้นได้ ด้วยวิธีการดังต่อไปนี้

1. ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการใช้ชีวิต

  • การลดน้ำหนัก เป็นวิธีช่วยได้มากที่สุดเพราะแรงกดทับกระดูกจะมากกว่าน้ำหนักถึง 4 เท่า
  • หลีกเลี่ยงการนั่งพับเพียบ หรือการยืนนาน ๆ
  • ใช้ที่ช่วยพยุงเข่า หรือใส่รองเท้าพื้นนุ่ม เพื่อช่วยลดแรงกระแทก

2. การออกกำลังกายเฉพาะทาง

  • การเดินในน้ำ เพื่อให้น้ำช่วยในการพยุงเข่า
  • การเล่นโยคะ หรือพิลาทิสเบา ๆ
  • บริหารกล้ามเนื้อบริเวณต้นขา

3. การทำกายภาพบำบัด

  • การนวดบำบัด หรือการยืดกล้ามเนื้อ
  • การใช้ความร้อน หรือความเย็น เพื่อช่วยบรรเทาอาการปวด
  • การใช้เครื่องอัลตราซาวนด์ เพื่อกระตุ้นไฟฟ้า

4. การใช้ยาหรืออาหารเสริมบำรุงข้อเข่า

  • การใช้ยาแก้ปวด เพื่อบรรเทาอาการปวด เช่น พาราเซตามอล หรือยาต้านการอักเสบ
  • อาหารเสริมที่ช่วยบำรุงข้อเข่า เช่น อาหารเสริมแคลเซียม อาหารเสริมแมกนีเซียม 

5. การฉีดยาเข้าข้อเข่า (ควรอยู่ในการดูแลของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ)

  • กรดไฮยาลูรอนิก เพื่อหล่อลื่นข้อเข่าลดการเสียดทาน
  • เกล็ดเลือดเข้มข้น เพื่อกระตุ้นการซ่อมแซมของเนื้อเยื่อ
  • สเตียรอยด์ สำหรับผู้ที่มีอาการรุนแรงชั่วคราว

รักษาข้อเข่าเสื่อม ไม่ต้องผ่าตัดเหมาะกับใครบ้าง

  • ผู้ที่มีอาการที่ไม่รุนแรง ระยะเริ่มต้นถึงระยะปานกลาง
  • เหมาะกับผู้สูงอายุที่ไม่เหมาะกับการดมยาสลบหรือไม่เหมาะกับการผ่าตัด
  • เหมาะกับผู้ที่หลีกเลี่ยงการพักฟื้นนาน
  • เหมาะกับผู้ที่ยังสามารถเคลื่อนไหวในชีวิตประจำวันได้อย่างคล่องแคล่ว

สรุป

                การรักษาข้อเข่าเสื่อม อาจไม่จำเป็นต้องผ่าตัดเสมอไป ขึ้นอยู่กับอาการของข้อเข่า หากมีอาการที่หนักก็ควรที่ผ่าตัดข้อเข่าเพื่อได้ผลในการรักษาที่ดีที่สุด อย่างไรก็ตามควรดูแลรักษาข้อเข่าให้ดีออกกำลังกายให้เพียงพอ และรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้ข้อเข่าเสื่อมก่อนวัยอันควร

รู้ทันอาการข้อเสื่อมและวิธีบำรุงข้อให้แข็งแรง

ข้อเสื่อมเป็นปัญหาสุขภาพที่หลายคนมองข้าม แต่หากไม่รู้จักดูแลและป้องกันตั้งแต่เนิ่นๆ อาจส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตได้อย่างมาก โดยเฉพาะในผู้สูงอายุหรือผู้ที่ใช้งานข้ออย่างหนักในชีวิตประจำวัน เช่น การยืนหรือนั่งในท่าที่ไม่ถูกต้องเป็นเวลานาน หรือการเล่นกีฬาอย่างหนัก การรู้ทันอาการข้อเสื่อมและดูแลข้อให้แข็งแรงจึงเป็นสิ่งสำคัญเพื่อป้องกันปัญหานี้

อาการข้อเสื่อมที่ควรระวัง

ข้อเสื่อม (Osteoarthritis) เป็นภาวะที่เกิดจากการเสื่อมของกระดูกอ่อนที่อยู่ระหว่างข้อต่อ ทำให้เกิดการสึกหรอและการเสื่อมของกระดูกและเนื้อเยื่อรอบๆ ข้อ อาการที่มักพบได้แก่

  1. ปวดข้อ

อาการปวดข้อเป็นอาการหลักของข้อเสื่อม โดยมักจะรู้สึกปวดบริเวณข้อที่เสื่อม เช่น ข้อเข่า ข้อสะโพก หรือข้อไหล่ และอาจมีอาการปวดเพิ่มขึ้นหลังจากการเคลื่อนไหวหรือใช้ข้อหนัก

  • ข้อตึงและข้อฝืด

เมื่อมีการเสื่อมของข้อ อาจทำให้การเคลื่อนไหวของข้อมีความตึง รู้สึกฝืดหรือยืดหยุ่นได้น้อย เสียงกรอบแกรบในข้อ

ในบางครั้ง อาจได้ยินเสียงกรอบแกรบหรือเสียงดังจากการขยับข้อ ซึ่งเป็นสัญญาณของการสึกหรอในข้อ

  • บวมและอักเสบ

ข้อที่เสื่อมสามารถมีอาการบวมและอักเสบ ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่สะดวกในการเคลื่อนไหว

  • สูญเสียความยืดหยุ่นของข้อ

ในการเคลื่อนไหวบางท่าทางอาจจะมีความเสี่ยงที่จะทำให้ข้อต่อสูญเสียความยืดหยุ่นได้

วิธีบำรุงข้อให้แข็งแรง

การดูแลและบำรุงข้อให้แข็งแรงสามารถทำได้หลายวิธีที่ไม่ต้องพึ่งพาแค่การใช้ยา อาหารเสริม หรือการผ่าตัดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการดูแลตนเองด้วยการทานอาหารที่ดีและการปรับวิธีการใช้ชีวิต ดังนี้

1.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การออกกำลังกายจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อและข้อ ทำให้การเคลื่อนไหวราบรื่นขึ้น แนะนำให้เลือกการออกกำลังกายที่ไม่กระทบกระเทือนกับข้อ เช่น การเดินว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน หรือโยคะ เป็นต้น

2.ควบคุมน้ำหนักตัว การมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไปจะเพิ่มภาระให้กับข้อได้ โดยเฉพาะข้อเข่าและสะโพก การควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินขีดจำกัดสามารถช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดข้อเสื่อม

3.ทานอาหารเสริมที่ช่วยบำรุงข้อ อาหารเสริมที่มีสารอาหารช่วยบำรุงข้อและกระดูเช่น คอลลาเจน กลูโคซามีนและคอนดรอยติน ล้วนมีคุณสมบัติในการช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับข้อและบรรเทาอาการปวดข้อได้

4.ทานอาหารที่บำรุงข้อและกระดูก ควรทานอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารสำคัญ เช่น

  • แคลเซียมพบมากในนม, ผักใบเขียว, ปลา
    • วิตามินดี ช่วยให้ร่างกายดูดซึมแคลเซียมได้ดี พบในปลา, ไข่, และการได้รับแสงแดด
    • กรดไขมันโอเมก้า 3 ช่วยลดการอักเสบในข้อ เช่น ปลาทะเล (แซลมอน, ทูน่า), เมล็ดแฟลกซ์
    • วิตามินซี ช่วยในการสร้างคอลลาเจนที่เป็นส่วนประกอบสำคัญของข้อต่อ พบในผลไม้และผักสด เช่น ส้ม, ฝรั่ง, บรอกโคลี

5.ปรับท่าทางการนั่งและการยืน การนั่งและยืนในท่าที่ถูกต้องช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดข้อเสื่อม โดยเฉพาะการยืนหรือนั่งในท่าที่ทำให้ข้อได้รับแรงกดทับไม่สมดุล ควรให้ความสำคัญกับท่าทางในการทำงานหรือการนั่งตลอดเวลา

6.ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือเกิดการกระแทกแรงๆ เช่น การกระโดดสูง การยกของหนัก

สรุป ปัญหาข้อเสื่อมไม่ได้เกิดขึ้นกับผู้สูงอายุเท่านั้น แต่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกคนหากไม่ดูแลข้ออย่างเหมาะสม การรู้ทันอาการข้อเสื่อมและการดูแลตัวเองอย่างถูกต้องสามารถช่วยลดความเสี่ยงและบรรเทาอาการข้อเสื่อมได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การทานอาหารที่ดี หรือการทานอาหารเสริมกระดูกและข้อ เป็นต้น

สิ่งที่ควรรู้เกี่ยวกับร้านเวชภัณฑ์

ร้านเวชภัณฑ์เป็นร้านที่จำหน่ายอุปกรณ์ และสินค้าทางการแพทย์ที่ใช้ในการดูแลสุขภาพและการรักษาโรค สินค้าที่วางจำหน่ายในร้านเวชภัณฑ์ส่วนใหญ่จะมี ยา,อุปกรณ์ทางการแพทย์,ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพ,ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร,อุปกรณ์ดูแลแผลและการผ่าตัด,ผลิตภัณฑ์สุขภาพเด็ก เป็นต้น ร้านเวชภัณฑ์จัดว่าเป็นร้านที่รวบรวมสินค้าเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเอาไว้อย่างครบวงจร ทั้งในแง่การรักษาและการป้องกันโรค ทั้งนี้การเรียนรู้เกี่ยวกับร้านเวชภัณฑ์สามารถช่วยให้คุณเข้าใจการให้บริการและสินค้าได้ดีขึ้น แหละนี่คือสิ่งที่คุณควรรู้เกี่ยวกับร้านเวชภัณฑ์

  1. การมีใบอนุญาตการค้า ร้านเวชภัณฑ์จำเป็นต้องมีใบอนุญาตการค้าที่ถูกต้องซึ่งออกโดยหน่วยงานรัฐ เพื่อทำการค้าอุปกรณ์และยาทางการแพทย์
  2. ความรู้ของเภสัชกร ร้านเวชภัณฑ์ที่ดีควรมีเภสัชกรที่มีความรู้และความสามารถที่จะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยาและการจัดการกับสุขภาพที่เหมาะสม
  3. ความปลอดภัยและคุณภาพของสินค้า ตรวจสอบว่าร้านค้ามีการจัดการสินค้าที่ถูกต้องตามมาตรฐานการเก็บรักษายาและอุปกรณ์ทางการแพทย์อย่างเหมาะสมหรือไม่  เช่น ต้องเก็บยาในอุณหภูมิที่ควบคุมได้ หรือในอุณหภูมิที่เหมาะสม
  4. การให้บริการลูกค้า บริการลูกค้าที่ดีเป็นสิ่งสำคัญ ร้านควรจะมีบริการให้คำปรึกษาและช่วยเหลือลูกค้าในการเลือกซื้อสินค้าตามความต้องการและปัญหาสุขภาพที่พบ
  5. ความเป็นมืออาชีพ ความเป็นมืออาชีพในการให้บริการและการปฏิบัติงานที่เป็นไปตามข้อบังคับทางกฎหมายเป็นสิ่งที่สำคัญ การมีจรรยาบรรณในการปฏิบัติงานที่ดีช่วยให้ลูกค้ามั่นใจในคุณภาพและความปลอดภัยของการบริการ
  6. สินค้ามีความหลากหลาย ร้านเวชภัณฑ์ที่ดีควรมีสินค้าที่หลากหลาย เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่แตกต่างกัน ตั้งแต่ยาสามัญประจำบ้านไปจนถึงอุปกรณ์ทางการแพทย์พิเศษ
  7. บริการหลังการขาย การมีบริการหลังการขายที่ดี เช่น การแลกเปลี่ยนสินค้าที่มีปัญหาหรือไม่ตรงตามที่ต้องการ เป็นสิ่งสำคัญในการสร้างความไว้วางใจและความภักดีของลูกค้า

ทั้งนี้ในการเลือกซื้อของจากร้านเวชภัณฑ์จำเป็นต้องมีมาตรฐานตามที่เราได้กล่าวไว้เบื้องต้น และตรวจสอบคุณภาพอย่างเคร่งครัด เพื่อให้แน่ใจว่าผู้ใช้จะได้รับอุปกรณ์ที่ปลอดภัยและได้มาตรฐานตามที่กฎหมายกำหนด